ส่องเว็บไซต์คู่แข่ง ควรดูอะไรบ้าง

ส่องเว็บไซต์คู่แข่ง ควรดูอะไรบ้าง?

ก่อนที่ธุรกิจจะเริ่มวางแผนทำเว็บไซต์หรือทำ SEO ให้ติดอันดับ Google สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยคือ “การวิเคราะห์เว็บไซต์ของคู่แข่ง” เพราะคู่แข่ง คือตัวชี้วัดว่าอะไรที่ได้ผล อะไรที่ยังไม่เวิร์ก และจะนำกลยุทธ์แบบไหนมาใช้กับเว็บไซต์ของเราได้อย่างมั่นใจบทความนี้จะมาเจาะลึกว่า ถ้าอยากวิเคราะห์เว็บไซต์คู่แข่งอย่างมีประสิทธิภาพ ควรดูอะไรบ้าง พร้อมอธิบายทีละหัวข้อแบบเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับนักการตลาด เจ้าของธุรกิจ หรือแม้แต่คนเริ่มต้นทำ SEO ด้วยตัวเองค่ะ

สารบัญเนื้อหา
  1. 1. On-page SEO
  2. Backlink ของเขาแกร่งแค่ไหน
  3. Traffic Rank เข้าชมเว็บมากแค่ไหน ดูยังไงและบอกอะไรเราได้บ้าง
  4. Mobile Friendly คืออะไร แล้วทำไมถึงสำคัญกับ SEO?
  5. ทำไมต้องวิเคราะห์ Page Speed ของเว็บไซต์คู่แข่ง
  6. อายุของโดเมน (Domain Age) คืออะไร

1. On-page SEO

On-page SEO คือ ส่วนที่เกิดขึ้นภายในเว็บไซต์ของคู่แข่ง เช่น โครงสร้างเนื้อหา คีย์เวิร์ด การจัดลำดับหัวข้อ รวมไปถึงประสบการณ์ใช้งานของผู้ชม การสังเกต On-page SEO ของคู่แข่งจะทำให้รู้ว่าพวกเขา “ทำอะไรดี” หรือ “พลาดตรงไหน” เพื่อใช้วางแผนเว็บไซต์ของเราให้ดีกว่าได้

1. Title Tag และ Meta Description

Title Tag คือ ชื่อเรื่องของแต่ละหน้าเพจที่แสดงใน Google

คู่แข่งใช้คำกระชับ ดึงดูด และแทรกคีย์เวิร์ดไว้ตอนต้นหรือไม่?

ยาวเกินไปหรือสั้นเกินไปหรือไม่ (แนะนำไม่เกิน 60 ตัวอักษร)

Meta Description คือ คำอธิบายสั้น ๆ ใต้หัวข้อบน Google
→ คู่แข่งใช้ประโยชน์จากตรงนี้ดีแค่ไหน? เขาใช้ Call to Action ไหม?
→ เขียนชวนคลิกหรือแค่บรรยายแบบทั่วไป?

 2. Heading Tags (H1, H2, H3)

  • H1 ต้องมีเพียงหนึ่งเดียวในแต่ละหน้า และควรมีคีย์เวิร์ด
  • H2, H3 ใช้จัดระเบียบเนื้อหาอย่างมีชั้นเชิงหรือไม่?
  • อ่านง่าย แบ่งเนื้อหาออกเป็นหัวข้อย่อยชัดเจนหรือเปล่า?

เทคนิควิเคราะห์
ลองใช้ Extension อย่าง SEO Minion หรือ Detailed SEO เพื่อดูว่าเว็บของคู่แข่งใช้โครงสร้าง Headings ยังไงบ้าง

 3. คีย์เวิร์ดและการแทรกในเนื้อหา

  • เขาเลือกใช้คีย์เวิร์ดอะไร?
  • มีการแทรกคีย์เวิร์ดไว้ใน Title, H1, ย่อหน้าแรก, ภาพ, URL หรือเปล่า?
  • ใช้คีย์เวิร์ดหลักร่วมกับคีย์เวิร์ดย่อย (LSI Keyword) หรือไม่?

เทคนิคเสริม
ลองใช้ Ubersuggest, Ahrefs หรือ SEMrush เพื่อวิเคราะห์ว่าเว็บของคู่แข่งติดอันดับด้วยคำไหนบ้าง และใช้คีย์เวิร์ดนั้นอย่างไรในเนื้อหา

 4. Content Length และคุณภาพ

  • บทความยาวแค่ไหน? 500 หรือ 2,000 คำ?
  • เขาเขียนแบบอธิบายละเอียดไหม หรือเน้นสั้นกระชับแต่ตอบคำถามได้?
  • มีการใช้ภาพประกอบ, วิดีโอ, ตาราง หรือ bullet points ไหม?

เปรียบเทียบคู่แข่ง
ถ้าเว็บคู่แข่งอันดับ 1–3 มีบทความยาว 1,800 คำขึ้นไป → แสดงว่า Google ให้ค่ากับบทความละเอียด ถ้าทุกเว็บเน้นเนื้อหาสั้นแต่ใช้วิดีโอเยอะ → ต้องวางกลยุทธ์เน้น Visual

5. Internal Link และ External Link

  • เว็บของเขามีลิงก์ไปหน้าภายในเว็บไซต์อื่นไหม (Internal Link)?
  • มีลิงก์ไปเว็บน่าเชื่อถือภายนอกหรือไม่ (External Link)?
    ทั้งสองอย่างนี้ช่วยเพิ่ม SEO Score ได้หากใช้อย่างถูกวิธี

ตัวอย่าง
บทความรีวิวสินค้า มีลิงก์ไปหน้า “ติดต่อซื้อ” (Internal) และลิงก์ไปยังเว็บของผู้ผลิต (External)

 6. ภาพและ Alt Text

  • ภาพที่ใช้มีชื่อไฟล์ตรงกับคีย์เวิร์ดหรือไม่?
  • มีการใส่ Alt Text (ข้อความบรรยายภาพ) ที่เกี่ยวข้องไหม?
    → ทั้งหมดนี้ช่วยให้ Google เข้าใจบริบทของภาพ และส่งผลต่อ SEO

 7. User Experience และ Layout

  • อ่านง่ายไหม? ใช้สี ตัดบรรทัด ขนาดฟอนต์เหมาะสมหรือไม่?
  • มี Call to Action (ปุ่มกด, ปรึกษา, ดาวน์โหลด ฯลฯ) หรือไม่?
  • ใช้ Bullet Point หรือ Infographic ทำให้เนื้อหาดูเข้าใจง่ายไหม?

8. โครงสร้าง URL

  • URL อ่านง่าย มีคีย์เวิร์ดหรือไม่ เช่น
    /บริการ-ขนส่ง → ดี
    /page.php?id=123 → ไม่ดี
  • มี canonical link หรือ schema markup หรือเปล่า?
    เครื่องมือช่วยดูเช่น  SEOquake, MozBar

Backlink ของเขาแกร่งแค่ไหน

Backlink หรือ “ลิงก์จากเว็บไซต์ภายนอก” ที่ชี้กลับมายังเว็บของคู่แข่ง เป็นปัจจัยสำคัญที่ Google ใช้พิจารณา “ความน่าเชื่อถือ” ของเว็บนั้น ยิ่งลิงก์มาจากเว็บคุณภาพสูง (ไม่ใช่เว็บสแปม) ก็ยิ่งมีผลต่ออันดับในผลการค้นหา ยิ่งถ้าได้ลิงก์จากเว็บไซต์ที่อยู่ในสายธุรกิจเดียวกัน ก็ยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นอีก

สิ่งที่ต้องดูเมื่อวิเคราะห์ Backlink ของคู่แข่ง

1. จำนวน Backlink รวมทั้งหมด

ดูว่าเว็บของคู่แข่งมีลิงก์จากเว็บอื่นมากน้อยแค่ไหน → ใช้เครื่องมือฟรีอย่าง Ahrefs Free Backlink Checker, [Ubersuggest], หรือ [SEMrush] เพื่อดูจำนวนลิงก์ทั้งหมดที่ชี้มายังเว็บไซต์ของคู่แข่ง

ตัวอย่าง

  • คู่แข่ง A มี 1,500 Backlink จาก 100 โดเมน
  • คู่แข่ง B มี 200 Backlink จาก 20 โดเมน

→ คู่แข่ง A ดูแข็งแรงกว่าในแง่ของการอ้างอิงจากเว็บไซต์อื่น

2. จำนวนโดเมนที่อ้างอิง (Referring Domains)

การมี Backlink เยอะไม่สำคัญเท่ากับการมีจากหลาย “เว็บไซต์ที่แตกต่างกัน”
→ ถ้าเว็บเดียวสร้าง 1,000 ลิงก์ กลับมาเว็บคุณ = ไม่น่าเชื่อถือ
→ แต่ถ้ามี 1,000 ลิงก์จาก 500 เว็บไซต์ไม่ซ้ำกัน = แกร่ง

วิธีดูง่าย ๆ

  • ดูตัวเลข Referring Domains → ยิ่งหลากหลายยิ่งดี
  • ใช้ Ahrefs หรือ SEMrush จะบอกแยกชัดเจน

3. คุณภาพของโดเมน (Domain Authority / DR Score)

ดูว่าเว็บที่ลิงก์มาหาเขา มีพลังมากน้อยแค่ไหน
→ ได้ลิงก์จากเว็บข่าวดัง, เว็บรัฐบาล, เว็บมหาวิทยาลัย, เว็บสายเดียวกัน → แข็งมาก
→ ได้ลิงก์จากเว็บสแปม เว็บเนื้อหาซ้ำ → ไม่มีค่า อาจเป็นโทษด้วยซ้ำ

เกณฑ์การดู DA/DR

  • DR 0–30 = เว็บเล็กทั่วไป
  • DR 30–60 = เว็บกลาง-น่าเชื่อถือ
  • DR 60–90 = เว็บใหญ่
  • DR 90+ = เว็บระดับโลก เช่น Google, Facebook, Wikipedia

เครื่องมือ Ahrefs, Moz, SEMrush มีให้ดูคะแนน Domain Authority หรือ Domain Rating

4. ลิงก์มาจากเว็บไซต์สายเดียวกันไหม (Relevance)

  • เว็บคู่แข่งได้ลิงก์จากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือไม่? เช่น ถ้าคู่แข่งขายสินค้าออร์แกนิก แต่ได้ Backlink จากบล็อกสุขภาพ = มีน้ำหนัก ถ้าได้ลิงก์จากเว็บข่าวทั่วไปรัว ๆ แบบไม่เกี่ยวกันเลย → Google มองว่าน่าสงสัย

คำแนะนำ

  • ลิงก์จากเว็บสายเดียวกัน = Gold
  • ลิงก์จากเว็บสื่อ/พาร์ทเนอร์จริง = ดียิ่งกว่า

5. Anchor Text ที่ใช้ลิงก์มา

  • คู่แข่งได้ลิงก์จากคำว่าอะไร เช่น
    “คลิกที่นี่” → น้ำหนักน้อย
    “ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากธรรมชาติ” → ดี เพราะตรงคีย์เวิร์ด

Anchor Text ควรมีทั้ง

  • คำทั่วไป (Generic) เช่น ดูเพิ่มเติม
  • คำแบรนด์ (Branded) เช่น CZ Group
  • คำคีย์เวิร์ด (Exact Match / Partial Match) เช่น รับทำ SEO, ที่ปรึกษา Digital Marketing

6. ประเภทของลิงก์ Dofollow vs Nofollow

  • Dofollow = ส่งค่าพลัง (Link Juice) เต็ม
  • Nofollow = ไว้เชิงอ้างอิง ไม่มีผลต่อ SEO โดยตรง

→ ดูว่าคู่แข่งมีสัดส่วน Dofollow เท่าไหร่ ถ้ามีเยอะจากเว็บดี ๆ = แข็งแรง
→ หากมีแต่ Nofollow จากโซเชียลหรือเว็บคอมเมนต์ → SEO ไม่ขยับเท่าไหร่

7. ความเร็วในการเติบโตของ Backlink (Link Velocity)

  • คู่แข่งได้ลิงก์เพิ่มขึ้นกี่ลิงก์ต่อเดือน?
  • เติบโตแบบเป็นธรรมชาติหรือเพิ่มฮวบฮาบ?
    → ถ้าโตเร็วผิดธรรมชาติ Google อาจมองว่าเป็น “ลิงก์ซื้อ” หรือ “ทำ SEO ไม่ปลอดภัย”

วิธีดู
ใช้ Ahrefs → Backlink profile → ดูกราฟการเติบโตแบบ Timeline

Traffic Rank เข้าชมเว็บมากแค่ไหน ดูยังไงและบอกอะไรเราได้บ้าง

Traffic Rank คือ การจัดอันดับเว็บไซต์ตามจำนวนผู้เข้าชม (Visitors) และจำนวนการดูหน้าเว็บ (Pageviews) ภายในช่วงเวลาหนึ่ง ยิ่งอันดับดี (ตัวเลขน้อย) แสดงว่าเว็บนั้นมีคนเข้าใช้งานจำนวนมากและต่อเนื่อง 

1. ดูอันดับจากแหล่งไหนได้บ้าง?

  • SimilarWeb
    แสดง Traffic Rank แยกตามประเทศและประเภทธุรกิจ พร้อมข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้งาน เช่น เวลาที่ใช้ในเว็บ, Bounce Rate, จำนวนหน้าต่อการเข้าชม
  • Ahrefs / SEMrush
    แสดงอันดับ Organic Traffic, Keyword ที่ติดอันดับ, จำนวน Traffic แบบเฉพาะเจาะจง
  • Alexa Rank (ยุติให้บริการแล้ว)
    ปัจจุบันไม่ใช้ Alexa แล้ว ควรดูผ่านเครื่องมือใหม่อย่าง SimilarWeb หรือ SEMrush แทน

2. วิเคราะห์จากอันดับ Traffic Rank ได้อะไรบ้าง

รู้ว่าเว็บคู่แข่งมี “ทราฟฟิกจริง” หรือแค่ติดอันดับแต่ไม่มีคนเข้า

บางเว็บอาจจะติดอันดับจากคีย์เวิร์ด แต่ถ้าคีย์เวิร์ดนั้นไม่มีคนค้นหา  ก็ไม่มีคนเข้าเว็บ
การดู Traffic Rank จะช่วยบอกว่า SEO ที่เขาทำ “เวิร์กจริง” หรือเปล่า

3. ดูแหล่งที่มาของทราฟฟิก (Traffic Sources)

ไม่ใช่แค่ “มีคนเข้าเว็บเยอะ” เท่านั้น แต่ต้องดูว่า “มาจากไหน?”

  • Organic Search (SEO)  บ่งบอกว่าเขาเก่งด้าน SEO
  • Direct  คนพิมพ์ชื่อเว็บเข้าเอง → แบรนด์แข็ง
  • Social  มาจาก Facebook, TikTok, IG → เก่งสายคอนเทนต์
  • Referral  มาจากเว็บอื่นที่ลิงก์มา
  • Paid Search  ยิงแอด Google Ads

4. พฤติกรรมผู้เข้าชม (Engagement Metrics)

SimilarWeb และ SEMrush จะมีข้อมูลอื่นที่ช่วยให้เราดูความน่าสนใจ ของเว็บคู่แข่ง เช่น

  • Average Visit Duration คนอยู่ในเว็บนานแค่ไหน (เกิน 2 นาทีถือว่าโอเค)
  • Pages per Visit คนเปิดกี่หน้าต่อรอบ (มากกว่า 2 คือดี)
  • Bounce Rate เข้าแล้วออกเลยหรือเปล่า (ต่ำกว่า 50% คือดี)

ถ้าคู่แข่งมีค่าพวกนี้สูง แสดงว่า “เว็บใช้งานง่าย คอนเทนต์ดี น่าเชื่อถือ”
เราควรเรียนรู้การวางหน้าเว็บ/เนื้อหาของเขาแล้วปรับใช้กับเว็บเรา

5. การเปรียบเทียบกับเว็บตัวเอง

สามารถนำเว็บตัวเองมาเปรียบเทียบกับคู่แข่งผ่านเครื่องมือเหล่านี้ ดูว่าเราตามหลังอยู่กี่อันดับ ทราฟฟิกต่างกันแค่ไหน แล้วค่อยวางแผนเพิ่ม SEO หรือยิงแอดเพื่อชดเชย

Mobile Friendly คืออะไร แล้วทำไมถึงสำคัญกับ SEO?

Mobile Friendly หมายถึง ความสามารถของเว็บไซต์ในการแสดงผลได้อย่างสวยงามและใช้งานง่ายบนอุปกรณ์มือถือ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ต โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องซูม ย่อ ขยาย หรือลากหน้าจอเพื่ออ่านเนื้อหา ผู้คนใช้มือถือเข้าถึงข้อมูลมากกว่าคอมพิวเตอร์ Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่รองรับมือถือมากเป็นพิเศษ ถึงขั้นใช้ “Mobile-first indexing” มาเป็นหลักในการจัดอันดับเว็บเลยทีเดียว

1. Google ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ว่าเว็บไหน Mobile Friendly?

  • Responsive Design  หน้าเว็บสามารถปรับขนาดตามอุปกรณ์อัตโนมัติ
  • ขนาดฟอนต์อ่านง่าย  ตัวหนังสือไม่เล็กเกินไป
  • ปุ่มกด/ลิงก์ใช้งานง่าย  ไม่ชิดกันเกินไป กดง่าย
  • โหลดไวบนมือถือ  ไม่ต้องรอโหลดนานจนผู้ใช้กดปิด
  • ไม่มี Flash หรือองค์ประกอบที่ไม่รองรับมือถือ

2. วิธีดูว่าเว็บไซต์คู่แข่ง Mobile Friendly ไหม

ใช้เครื่องมือของ Google โดยตรง Mobile-Friendly Test (Google)
แค่กรอก URL ของเว็บไซต์ ระบบจะบอกทันทีว่าเว็บนั้นเป็นมิตรกับมือถือหรือไม่ พร้อมคำแนะนำการปรับปรุง

ตรวจสอบผ่านมือถือของคุณเอง

  • เปิดเว็บคู่แข่งในมือถือ
  • ลองเลื่อนหน้าจอ, กดปุ่ม, อ่านเนื้อหา
  • ถ้ารู้สึกว่าใช้งานลำบาก หรือโหลดช้า แสดงว่าไม่ Mobile Friendly

ใช้เครื่องมือ SEO เช่น Ahrefs, SEMrush หรือ PageSpeed Insights
เครื่องมือพวกนี้จะให้คะแนนแยกเฉพาะฝั่ง Mobile และแนะนำจุดที่ควรแก้ไข

3. Mobile Friendly มีผลต่อ SEO ยังไง?

  • Google ให้ความสำคัญกับมือถือเป็นอันดับแรก (Mobile-first Indexing)
    เว็บไซต์ที่ใช้งานบนมือถือไม่ดี จะมีอันดับ SEO แย่ แม้เวอร์ชันเดสก์ท็อปจะดีแค่ไหนก็ตาม
  • ลด Bounce Rate
    หากเว็บเปิดยาก อ่านยาก คนจะกดออกเร็ว ส่งผลเสียต่อคุณภาพของเว็บไซต์ในสายตา Google
  • เพิ่ม Engagement
    เว็บที่ใช้งานง่ายบนมือถือ → คนอยู่ในเว็บนานขึ้น, อ่านต่อหลายหน้า → ส่งสัญญาณดีให้ Google

4. วิเคราะห์คู่แข่งจากความเป็น Mobile Friendly ได้อย่างไร

เมื่อคุณรู้ว่าเว็บคู่แข่ง

  • แสดงผลดีบนมือถือ
  • โหลดไว
  • ใช้งานง่ายบนหน้าจอขนาดเล็ก

แปลว่าเขามี “คะแนน SEO บวก” และอาจได้เปรียบในการจัดอันดับ คุณจึงควรใช้ข้อมูลนี้เทียบกับเว็บไซต์ของคุณเอง หากเว็บคุณยังไม่ Mobile Friendly  ต้องเร่งปรับดีไซน์, โครงสร้าง, หรือใช้ธีมที่รองรับ Responsive Design เพื่อไม่ให้แพ้คู่แข่งในระยะยาว

5. ปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้ Mobile Friendly ต้องเริ่มยังไง?

  • ใช้ธีมเว็บไซต์ที่ Responsive
  • ตรวจสอบ Layout ทุกหน้าผ่านมือถือ
  • ปรับขนาดปุ่มให้กดง่ายบนหน้าจอเล็ก
  • ลดขนาดรูปและโค้ดเพื่อเพิ่มความเร็ว
  • ทดสอบผ่าน Mobile-Friendly Test และปรับตามคำแนะนำ

ทำไมต้องวิเคราะห์ Page Speed ของเว็บไซต์คู่แข่ง

การตรวจสอบความเร็วของเว็บคู่แข่งช่วยให้คุณรู้ว่า

  • พวกเขาใช้เทคโนโลยีอะไร เช่น CDN, Lazy Load, Cache
  • ปรับแต่งภาพหรือโค้ดเพื่อให้เบาและโหลดไวหรือไม่
  • คุณเร็วหรือช้ากว่าในสายตาของ Google (Google จะให้คะแนนจากการเปรียบเทียบกับเว็บอื่นในหมวดเดียวกัน)

ใช้เครื่องมืออะไรตรวจสอบ Page Speed ได้บ้าง?

  1. Google PageSpeed Insights กรอก URL แล้วจะได้คะแนนทั้ง Desktop และ Mobile พร้อมคำแนะนำ คะแนนมากกว่า 80 ถือว่าดี (เต็ม 100)
  2. GTmetrix แสดงรายละเอียดเชิงลึก เช่น TTFB (Time to First Byte), Fully Loaded Time เทียบประสิทธิภาพเว็บของคุณกับคู่แข่งได้ง่าย
  3. Lighthouse (บน Google Chrome DevTools)  เหมาะสำหรับนักพัฒนา ใช้ตรวจภายในเชิงลึกมากขึ้น

ปัจจัยที่ทำให้ Page Speed ช้าลง

  • ขนาดภาพใหญ่เกินไป (ไม่ได้บีบอัด)
  • โค้ด JavaScript หรือ CSS ที่ไม่ Optimize
  • ใช้ฟอนต์ออนไลน์เยอะเกินไป
  • โหลดวิดีโอหรือ iframe จากภายนอกโดยไม่มี Lazy Load
  • ไม่มีระบบ Cache หรือ CDN
  • Hosting ไม่เสถียรหรือ Server อยู่ไกลจากกลุ่มเป้าหมาย

ตัวอย่างเกณฑ์วัด Page Speed (โดยประมาณ)

ความเร็วโหลดความรู้สึกของผู้ใช้งานคะแนน SEO โดย Google
0 – 2 วินาทีดีมาก โหลดไวมากคะแนนดีมาก
2 – 4 วินาทีพอใช้ได้ ยังโอเคต้องปรับบ้าง
มากกว่า 4 วินาทีช้า ผู้ใช้งานอาจกดออกมีผลลบต่ออันดับ

หากคู่แข่งมี Page Speed ดีกว่า แสดงว่า...

  • พวกเขาอาจใช้ Cloud Hosting ที่เร็วกว่า
  • มีทีมพัฒนาเว็บไซต์ที่ Optimize ได้ดี
  • ปรับโครงสร้างหน้าเว็บให้เบา และเรียบง่าย
  • อาจใช้ AMP (Accelerated Mobile Pages) ในบางบทความ

วิธีเพิ่ม Page Speed ให้เว็บไซต์ของคุณ

  • บีบอัดภาพก่อนอัปโหลด (ใช้ WebP, TinyPNG)
  • ใช้ระบบ Lazy Load สำหรับภาพและวิดีโอ
  • รวมและย่อ JavaScript/CSS
  • ติดตั้งระบบ Cache หรือ CDN เช่น Cloudflare
  • เลือก Hosting ที่เร็วและอยู่ใกล้ลูกค้า
  • ลดจำนวนปลั๊กอิน/โค้ดที่ไม่จำเป็น

อายุของโดเมน (Domain Age) คืออะไร

Domain Age คือ ระยะเวลาที่ชื่อเว็บไซต์ (เช่น www.ชื่อเว็บไซต์.com) ถูกจดทะเบียนและมีตัวตนอยู่บนโลกออนไลน์ ยิ่งโดเมนมีอายุนาน ก็ยิ่งสะท้อนความมั่นคง ความต่อเนื่อง และความน่าเชื่อถือในสายตา Google “Domain Age ไม่ใช่ปัจจัยหลักในการจัดอันดับ” แต่จากประสบการณ์จริงของนักทำ SEO หลายคนพบว่า เว็บไซต์ที่มีอายุมากกว่า จะ ได้เปรียบ ในการติดอันดับมากกว่าเว็บใหม่ โดยเฉพาะถ้ามีประวัติที่ดี (ไม่มีสแปมหรือถูกลงโทษ)

Domain Age มีผลกับ SEO อย่างไร

  1. ความน่าเชื่อถือ (Trustworthiness) 

Google มองว่าเว็บที่เปิดมานานและยังคงอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ มีโอกาสให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากกว่าเว็บใหม่ ๆ

  1. Backlink Profile ที่เติบโตตามเวลา
    เว็บไซต์เก่ามี แบ็กลิงก์คุณภาพสูง สะสมมากกว่าคู่แข่งหน้าใหม่ ซึ่งส่งผลบวกต่อ SEO อย่างมาก
  2. ประวัติบน WHOIS และ Wayback Machine
    SEO สามารถตรวจสอบได้ว่าโดเมนนั้นมีการเปลี่ยนมือหรือมีประวัติไม่ดีหรือไม่ เช่น เคยใช้ทำเว็บผิดกฎหมายมาก่อน ซึ่งอาจทำให้ Google มองไม่ดี

จะเช็ค Domain Age ของคู่แข่งได้อย่างไร

สามารถตรวจสอบอายุของโดเมนได้ง่าย ๆ ด้วยเครื่องมือเหล่านี้

  • Whois Lookup กรอกชื่อเว็บไซต์ แล้วดูข้อมูล “Created on” หรือ “Registered on”
  • Wayback Machine (archive.org) เช็คว่าเว็บนี้เคยมีหน้าเว็บตั้งแต่ปีไหน อัปเดตอย่างไรบ้าง
  • [ahrefs หรือ SEMrush] แสดงข้อมูลกราฟการเติบโตของโดเมนพร้อม Backlink Profile

ข้อได้เปรียบของโดเมนเก่าเมื่อเทียบกับโดเมนใหม่

ประเด็นโดเมนเก่าโดเมนใหม่
ความน่าเชื่อถือสูงกว่าต้องสร้างใหม่
โอกาสติดอันดับมากกว่าต้องใช้เวลา
Backlinkมีฐานเก่าต้องสร้างจาก 0
Trafficมักมีฐานลูกค้าเดิมยังไม่มีฐาน

เทคนิคดูอายุโดเมนคู่แข่งแล้วนำไปใช้กับธุรกิจ

  • ถ้าโดเมนเขาเก่า  วิเคราะห์ต่อว่า เขามีแบ็กลิงก์จากเว็บไหน เราสามารถทำ PR หรือ Guest Post ได้ไหม
  • ถ้าโดเมนเขาใหม่ คุณมีโอกาสแซงด้วย SEO เชิงกลยุทธ์ เช่น เขียนบทความคุณภาพ + ทำโครงสร้างเว็บไซต์ดี
  • เช็คว่าโดเมนเขาเคยเปลี่ยนมือไหม หรือมีโดเมนแฝงที่ redirect มาหรือไม่ (เช่น ซื้อโดเมนเก่ามาสร้างใหม่)

การส่องเว็บไซต์ คู่แข่งช่วยให้เข้าใจภาพรวม SEO ได้แบบลึก ๆ ทั้งด้าน On-page, Backlink, ความเร็วเว็บ และความน่าเชื่อถือของโดเมน ยิ่งวิเคราะห์ละเอียด ยิ่งวางแผนแข่งได้ตรงจุด เครื่องมือวิเคราะห์และข้อมูลเหล่านี้คือพื้นฐานสำคัญของกลยุทธ์ที่ได้ผล

ติดต่อ บริษัท ซี แซด กรุ๊ป จำกัด

  • ที่อยู่: บริษัท ซี แซด กรุ๊ป จำกัด 52/87 ถ.เทพาพัฒนา ต.ในเมือง อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ 67000
  • เบอร์โทร : 065 195 9797
  • E-mail : [email protected]
  • Line ID :@CzGroup
  • Facebook :CzGroup : Digital Marketing and SEO

บริการเสริมด้านการตลาดดิจิทัลที่จะช่วยยกระดับเว็บไซต์ของคุณให้เป็นมากกว่าแค่แหล่งรวมข้อมูล แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือและขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจ

บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress

รับทำเว็บไซต์ ที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มธุรกิจ เน้นคุณภาพสูง โหลดไว ใช้งานง่าย การออกแบบยึดหลักให้ตรงตามเอกลักษณ์ของธุรกิจโดยเฉพาะ พร้อมรองรับ SEO และการแสดงผลที่รองรับได้ทุกขนาดหน้าจอ เริ่มต้น ฿16,900 โทร 065-195-9797

บริการรับทำ SEO

รับทำ SEO สายขาว 100% ให้ติดหน้าแรกบน Google พร้อม Backlink คุณภาพ ติดอันดับบน Search Engine ใน 120 วัน การันตีลูกค้าจริง เพิ่มโอกาสทางธุรกิจคุณ สร้างยอดขายแบบก้าวกระโดด เริ่มต้น 25,000 บาทต่อคำค้นหา

Scroll to Top