อันดับไม่ขึ้น เพราะไม่เข้าใจหลักการออกแบบเว็บไซต์ที่ดีเป็นแบบไหน

อันดับไม่ขึ้น เพราะไม่เข้าใจหลักการออกแบบเว็บไซต์ที่ดีเป็นแบบไหน?

สารบัญเนื้อหา
  1. หลักการออกแบบเว็บไซต์ที่ดีเป็นแบบไหน?

หากคุณกำลังทำ SEO แต่เว็บไซต์ยังไม่มีโครงสร้างที่ชัดเจน หรือยังออกแบบโดยไม่คิดถึงผู้ใช้งานและ Google การทำอันดับให้ติดหน้าแรกอาจเป็นเรื่องที่ดูจะยากสุดๆ  หลายคนเริ่มต้นทำคอนเทนต์ดี มีคีย์เวิร์ดครบ แต่กลับหลุดอันดับเพราะเว็บไซต์โหลดช้า ลิงก์ภายในไม่สัมพันธ์กัน หรือหน้าสำคัญตกหล่นโดยไม่รู้ตัว ปัญหาเหล่านี้ล้วนมาจากสิ่งที่เรียกว่า โครงสร้างเว็บไซต์และการออกแบบ SEO 

บทความนี้จะพาคุณเข้าใจว่าโครงสร้างเว็บที่ดีควรเป็นอย่างไร เมนูต้องวางแบบไหน หน้าเว็บต้องมีอะไรบ้าง ไปจนถึงการออกแบบ UX/UI ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของ Google มากที่สุด  พร้อมตัวอย่างการวางโครงสร้าง On-page ที่ถูกต้อง เหมาะกับทั้งมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำเว็บไซต์ และเจ้าของธุรกิจที่อยากรีดีไซน์เว็บให้ติดอันดับจริงจัง

หลักการออกแบบเว็บไซต์ที่ดีเป็นแบบไหน

หลักการออกแบบเว็บไซต์ที่ดีเป็นแบบไหน?

เว็บไซต์ที่ไม่มีการวางแผนการออกแบบตั้งแต่ต้น มักเสียเปรียบทั้งเรื่องอันดับ การปรับ UX/UI ให้รองรับ SEO ตั้งแต่โครงสร้างเว็บ เมนู ปุ่มคลิก การจัดวางคอนเทนต์ ไปจนถึงเรื่องความเร็วและการแสดงผลบนมือถือ เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เว็บไซต์ที่ดีต่อ SEO ควรมีโครงสร้างชัดเจน แบ่งหมวดหมู่เข้าใจง่าย โหลดเร็ว รองรับการใช้งานบนทุกอุปกรณ์ วางองค์ประกอบที่สำคัญไว้ในตำแหน่งที่เข้าถึงได้สะดวก 

โครงสร้างเว็บไซต์แบบไหนที่ง่ายต่อการ Crawl

โครงสร้างเว็บไซต์แบบไหนที่ง่ายต่อการ Crawl

Google จะเข้าใจและจัดอันดับเว็บไซต์ได้ดี ถ้าโครงสร้างของเว็บถูกวางไว้อย่างมีระเบียบ เช่น เมนูชัดเจน หน้าเว็บสำคัญมีครบ และเชื่อมโยงถึงกันได้ง่าย ไม่ซับซ้อน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์และ Google Bot สามารถ Crawl (สแกน) เว็บไซต์ของคุณได้ทั่วถึง 

เมนูหลักและโครงสร้าง URL ต้องสัมพันธ์กัน

เมนูหลักของเว็บไซต์ ควรแบ่งตามหมวดหมู่ที่สื่อสารได้ชัด เช่น ควรเชื่อมโยงกับ URL ที่อ่านรู้เรื่อง เช่น หน้าบทความ yourdomain.com/blog หรือ  ติดต่อเรา yourdomain.com/contact ไม่ควรใช้ URL แบบรหัส เช่น yourdomain.com/page?id=123 เพราะจะทำให้ผู้ใช้และ Google จะเข้าใจได้ยาก

วางแผนใช้ Sitemap และ Internal Link อย่างมีระบบ

Sitemap คือ แผนผังเว็บไซต์ที่ช่วยให้ Google เข้าใจว่าเว็บของคุณมีหน้าไหนบ้าง และควรส่งผ่าน Google Search Console เพื่อให้บอตเข้าถึงเร็วขึ้น 

ส่วน Internal Link คือ การเชื่อมโยงระหว่างหน้าภายในเว็บ เช่น ลิงก์จากบทความ A ไปบทความ B ซึ่งการเชื่อมโยงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน Google จะมองว่าเนื้อหาในเว็บคุณนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน และทำให้ผู้ใช้งานอยู่ในเว็บได้นานขึ้น ช่วยกระจายพลังสำหรับการทำ SEO 

มีหน้าเว็บที่สำคัญครบถ้วน

เว็บไซต์ที่ดีต่อ SEO ควรมีหน้าเว็บหลักที่ครบ เช่น หน้าเกี่ยวกับเรา หน้าบริการ หน้าติดต่อ รวมถึงหน้าเงื่อนไขการใช้งานหรือความเป็นส่วนตัว เพื่อแสดงความน่าเชื่อถือให้ Google เห็นว่าเว็บไซต์คุณมีตัวตนจริง และเข้าเกณฑ์มาตรฐาน โดยเฉพาะในเว็บไซต์สายสุขภาพ การเงิน หรือการให้คำปรึกษา

รองรับการใช้งานบนทุกอุปกรณ์

รองรับการใช้งานบนทุกอุปกรณ์

การออกแบบเว็บไซต์ที่ดีต่อ SEO คือ การทำให้เว็บไซต์ใช้งานได้สะดวกบนทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเดสก์ท็อป แท็บเล็ต หรือสมาร์ตโฟน เพราะ Google ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (UX) ที่ดีบนทุกหน้าจอ ถ้าเว็บไซต์ของคุณแสดงผลไม่ดีบนมือถือ อันดับในผลค้นหาก็อาจตกลงได้อย่างมาก เช่น 

ลดขนาดไฟล์ภาพให้เหมาะสม

ภาพที่มีขนาดใหญ่เกินไปจะทำให้หน้าเว็บโหลดช้า โดยเฉพาะบนมือถือที่เน็ตอาจไม่แรง การบีบอัดขนาดภาพให้เล็กลง โดยไม่ลดความคมชัดจนเกินไป ช่วยให้เว็บโหลดไวขึ้น และยังประหยัดแบนด์วิธด้วย ควรใช้ WebP หรือ JPEG ที่ปรับขนาดอัตโนมัติเมื่อเปิดในอุปกรณ์ต่าง ๆ

ใช้ระบบ Cache และ CDN ช่วยโหลดเร็ว

การตั้งค่า Cache จะทำให้เบราว์เซอร์จำไฟล์ต่าง ๆ ของเว็บไว้ ทำให้การโหลดครั้งต่อไปเร็วขึ้น ส่วน CDN (Content Delivery Network) จะช่วยกระจายไฟล์เว็บไปยังเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก เพื่อให้ผู้ใช้จากแต่ละภูมิภาคเข้าถึงเว็บได้ไวขึ้น ทั้งสองอย่างนี้ช่วยให้เว็บทำงานได้เร็วทั้งบนมือถือและเดสก์ท็อป

เลี่ยงการใช้ Script ที่ทำให้เว็บช้า

Script หรือโค้ดบางประเภท เช่น เอฟเฟกต์ภาพ เคาน์เตอร์ หรือปลั๊กอินที่โหลดจากภายนอก อาจทำให้เว็บช้าลงโดยไม่จำเป็น ควรเลือกใช้เฉพาะสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ และตรวจสอบด้วยเครื่องมือเช่น PageSpeed Insights เพื่อดูว่าโค้ดไหนทำให้เว็บช้า แล้วหาทางลดหรือแทนที่

การออกแบบที่เน้นประสบการณ์ผู้ใช้งาน (UX)

การออกแบบที่เน้นประสบการณ์ผู้ใช้งาน (UX)

UX หรือ User Experience คือ ความรู้สึกของผู้เข้าชมเว็บไซต์ คนที่เข้าชมต้องได้รับประสบการณ์ที่ดีเข้ามาแล้วรู้เลยว่า เราขายอะไร แทนที่จะยัดเยียดทุกอย่างในหน้าเดียว ให้คิดว่า “สิ่งไหนคนต้องการเห็นก่อน?” วางไว้ด้านบน สิ่งไหนไม่เร่งด่วน วางไว้ด้านล่าง 

หน้าเว็บต้องมีลำดับการนำเสนอที่ชัดเจน

การวางลำดับเนื้อหาบนหน้าเว็บควรมีความไหลลื่น ตั้งแต่หัวเรื่องย่อย รูปภาพ ปุ่ม ไปจนถึงจุดจบที่ชวนให้คลิก เช่น “สอบถามเพิ่มเติม” หรือ “ดูรายละเอียดบริการ” ผู้ใช้ควรสามารถมองเห็นสิ่งสำคัญได้ใน 5 วินาทีแรกของการเปิดหน้า โดยไม่ต้องเลื่อนหรือเดาเอง

มีปุ่ม Call to Action ที่เด่นชัดและชัดเจน

ทุกหน้าควรมีปุ่มหรือข้อความชวนคลิก เช่น “ติดต่อเรา”, “เริ่มใช้งาน”, “ดาวน์โหลดฟรี” ที่มองเห็นได้ชัดเจน สีเด่นจากองค์ประกอบอื่น ขนาดเหมาะสม และวางไว้ในตำแหน่งที่ผู้ใช้จะเจอแน่นอน ไม่ควรซ่อนปุ่มไว้ หรือใช้คำกำกวมที่ทำให้ลังเลว่าจะคลิกดีมั้ย?

ใช้สีและดีไซน์ที่สบายตา ไม่รกจนเกินไป

โทนสีของเว็บไซต์ควรมีความกลมกลืน ไม่ใช้สีฉูดฉาดหรือคอนทราสต์จัดจนน่ารำคาญ ใช้สีไม่เกิน 3–4 เฉดหลัก และจัดระยะห่างระหว่างข้อความหรือรูปภาพให้มีพื้นที่หายใจ  จะช่วยให้ผู้ใช้โฟกัสกับเนื้อหาที่สำคัญ และอยู่ในเว็บไซต์ได้นานขึ้น เช่น เว็บไซต์คลินิก ควรเลือกใช้สี ขาว เขียว ฟ้า หรือน้ำเงิน 

การออกแบบเและเลือกเครื่องมือเว็บไซต์

การออกแบบเว็บและเลือกเครื่องมือ

รองรับการจัดโครงสร้าง SEO-Friendly

  • ต้องออกแบบ ให้สามารถใส่ H1-H6, Meta Title, Meta Description ได้อย่างอิสระ
  • มีโครงสร้าง HTML ที่เข้าใจง่าย เช่น ใช้ <main>, <article>, <section> อย่างถูกต้อง
  • ใช้ URL แบบอ่านรู้เรื่อง เช่น yourdomain.com/บริการรับทำเว็บไซต์

เลือก CMS หรือเครื่องมือที่เหมาะกับ SEO

  • WordPress, Webflow, Shopify (รองรับ SEO ได้ดี หากตั้งค่าเหมาะสม)
  • ควรหลีกเลี่ยงระบบเว็บที่ “ล็อกฟีเจอร์” หรือปรับแต่ง Meta, URL, Heading ไม่ได้
  • ตรวจสอบว่า CMS นั้นมีปลั๊กอินหรือฟีเจอร์เสริมสำหรับ SEO หรือไม่ (เช่น Yoast, RankMath)

รองรับ Responsive Design โดยไม่ต้องแก้โค้ด

  • เว็บต้องแสดงผลได้ดีในมือถือ, แท็บเล็ต, เดสก์ท็อป โดยอัตโนมัติ
  • ใช้ระบบ Grid หรือ Flex ที่ปรับขนาดอัตโนมัติ เพื่อให้ Google มองว่าใช้งานง่าย

ปรับความเร็วเว็บได้ง่าย

  • สามารถใช้ปลั๊กอินช่วยปรับความเร็วได้ เช่น LiteSpeed, WP Rocket
  • รองรับการบีบอัดไฟล์, ตั้งค่า Lazy Load, ใช้ CDN
  • ธีมหรือเทมเพลตต้องไม่หนักจนเกินไป

รองรับปลั๊กอิน SEO หรือการเพิ่มโค้ด Schema

  • มีช่องใส่ Structured Data / Schema Markup
  • ใส่ Google Analytics, Google Tag Manager, Facebook Pixel ได้
  • ใช้ปลั๊กอินจัดการ Redirect, Canonical URL, Sitemap ได้

ต้องมีฟีเจอร์สร้างบทความ SEO ได้ เช่น

  • ใส่ H2-H3 ได้
  • แทรกภาพและ alt text ได้
  • ตั้ง URL slug ได้เอง
  • แยกหมวดหมู่บทความ ทำให้คุณเขียนคอนเทนต์ SEO ได้ในระยะยาว

เครื่องมือที่ตอบโจทย์ SEO สำหรับการทำ SEO

  • WordPress 

WordPress เป็นเครื่องมือที่แนะนำที่สุดสำหรับคนเริ่มทำ SEO เลย มีระบบที่ตอบโจทย์ SEO มากที่สุดเพราะสามารถควบคุมโครงสร้างเว็บไซต์ได้อิสระ ทั้ง URL, Meta Tag, Sitemap, Heading, การใส่ปลั๊กอิน SEO อย่าง RankMath หรือ Yoast รวมถึงรองรับการปรับความเร็วเว็บ การทำ Cache และ AMP ได้ง่าย เหมาะสำหรับคนที่กำลังเริ่มต้น SEO หรือคนที่อยากจะทำในระยะยาว อีกทั้งเครื่องมือนี้คุณยังสามารถแก้ไขและจัดการโครงสร้างเว็บไซต์ของตัวเองได้อย่างง่ายดาย

  • Webflow 

เหมาะกับนักออกแบบที่เข้าใจ HTML/CSS ได้ในระดับหนึ่ง Webflow จะเด่นเรื่องการออกแบบแบบ Visual Drag-and-Drop ที่ไม่จำเป็นต้องใช้โค้ด แต่ยังคงควบคุม SEO เบื้องต้นได้ เช่น การแก้ไข Meta, H1–H6, Alt text, Clean Code และรองรับการสร้าง Sitemap อัตโนมัติ แต่มี ข้อจำกัด คือปลั๊กอินหรือฟังก์ชันเสริมยังไม่หลากหลายเท่า WordPress และการปรับระดับเทคนิคเชิงลึกอาจทำได้ไม่อิสระนัก เหมาะสำหรับคนที่อยากได้เว็บไซต์ดีไซน์สวยและยังพอทำ SEO ได้

  • Shopify 

เครื่องมือนี้ดีต่อเว็บไซต์ e-Commerce Shopify เป็นระบบที่สร้างมาเพื่อร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะ ใช้งานง่ายมาก และมีโครงสร้างที่เหมาะกับ eCommerce เช่น การจัดการสินค้า, Checkout, SSL, ความปลอดภัยสูง แต่มีข้อจำกัดเรื่อง SEO เชิงลึกแต่ข้อจำกัด SEO คือไม่สามารถจัดการ URL ได้อิสระ (เช่น /collections/ จะติดมากับ URL), Meta บางส่วนมีโครงสร้างจำกัด, ปรับความเร็วเว็บและ Schema ไม่ได้อิสระ เหมาะสำหรับ คนขายของออนไลน์ที่ต้องการเว็บเสร็จเร็ว และมีทีม SEO ช่วยดูแลแบบเบื้องต้น

  • Wix / Squarespace 

แพลตฟอร์มเหล่านี้เหมาะกับมือใหม่ที่ไม่อยากยุ่งยากเรื่องเทคนิค ใช้ระบบลากวางสร้างเว็บได้เลย และมีฟีเจอร์ปรับ Meta, Image Alt text และสร้าง Sitemap

มีข้อจำกัดเช่นกันอย่าง เรื่องโครงสร้าง URL ที่มักซับซ้อน โหลดช้าในบางธีม ไม่สามารถติดตั้งปลั๊กอิน SEO เสริมได้อิสระ และปรับโครงสร้างเชิงเทคนิคได้จำกัด  เหมาะสำหรับ เว็บไซต์ส่วนตัว หรือธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่ได้เน้น SEO มากนัก

สรุป 

เว็บไซต์ที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องหน้าตาสวยงาม แต่ต้องรองรับทั้งประสบการณ์ผู้ใช้งานและหลัก SEO อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่โครงสร้างเว็บที่ชัดเจน โหลดเร็ว รองรับมือถือ ไปจนถึงการวางหัวข้อ เนื้อหา และลิงก์ภายในอย่างเป็นขั้นตอน ทั้งหมดนี้ช่วยให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณ และยังเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้นด้วย หากวางรากฐานเว็บไซต์ได้ดีแล้ว วางโครงสร้างเว็บไซต์ให้ถูกทาง ดัน SEO ให้พุ่งแบบไม่ต้องเปลืองงบโฆษณา ก็มองข้ามไปไม่ได้เลย

ติดต่อ บริษัท ซี แซด กรุ๊ป จำกัด

  • ที่อยู่: บริษัท ซี แซด กรุ๊ป จำกัด 52/87 ถ.เทพาพัฒนา ต.ในเมือง อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ 67000
  • เบอร์โทร : 065 195 9797
  • E-mail : [email protected]
  • Line ID :@CzGroup
  • Facebook :CzGroup : Digital Marketing and SEO

บริการเสริมด้านการตลาดดิจิทัลที่จะช่วยยกระดับเว็บไซต์ของคุณให้เป็นมากกว่าแค่แหล่งรวมข้อมูล แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือและขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจ

บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress

รับทำเว็บไซต์ ที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มธุรกิจ เน้นคุณภาพสูง โหลดไว ใช้งานง่าย การออกแบบยึดหลักให้ตรงตามเอกลักษณ์ของธุรกิจโดยเฉพาะ พร้อมรองรับ SEO และการแสดงผลที่รองรับได้ทุกขนาดหน้าจอ เริ่มต้น ฿16,900 โทร 065-195-9797

บริการรับทำ SEO

รับทำ SEO สายขาว 100% ให้ติดหน้าแรกบน Google พร้อม Backlink คุณภาพ ติดอันดับบน Search Engine ใน 120 วัน การันตีลูกค้าจริง เพิ่มโอกาสทางธุรกิจคุณ สร้างยอดขายแบบก้าวกระโดด เริ่มต้น 25,000 บาทต่อคำค้นหา

Scroll to Top