วงการธุรกิจหลายๆ ประเภท โดยเฉพาะกลุ่มของธุรกิจ SME หรือเจ้าของกิจการที่เพิ่งเริ่มต้นมักมองว่า SEO เป็นสิ่งที่เรียนรู้และลงมือทำเองได้ โดยไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินจ้างผู้เชี่ยวชาญ เพราะมีแหล่งข้อมูลมากมายให้ศึกษาทั้งใน YouTube, บทความ หรือคลาสออนไลน์ทั่วไป เพราะเมื่อเห็นว่าวิธีคือแค่เขียนบทความ ใส่คีย์เวิร์ด แล้วรอ Google มาเก็บข้อมูล หลายคนจึงเลือกที่จะประหยัดงบ ด้วยการทำ SEO เองทั้งหมด โดยเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ทำเองได้และที่สำคัญ ไม่ต้องใช้งบประมานอีกด้วย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามคาด เว็บไซต์ไม่มีอันดับ บทความไม่ถูกค้นเจอ ยอดขายไม่ขยับ สุดท้ายกลับต้องเสียทั้งเวลา แรงงานและโอกาสทางธุรกิจ เพราะขาดความเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่า SEO อย่างแท้จริง
SEO ไม่ใช่แค่บทความกับคีย์เวิร์ด แต่คือระบบที่ต้องวางทั้งเทคนิค กลยุทธ์และเนื้อหา
แพลตฟอร์ม Google ไม่ได้จัดอันดับเว็บไซต์จากคีย์เวิร์ดเพียงอย่างเดียว แต่ใช้อะไรหลายอย่างเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ให้มีความเกี่ยวข้อง และประสบการณ์ผู้ใช้งาน (User Experience) เพราะฉะนั้น การทำ SEO ที่ได้ผลจริงจึงต้องวางระบบทั้งโครงสร้างเว็บไซต์ เทคนิคหลังบ้าน + คอนเทนต์ + กลยุทธ์ + ลิงก์ และการวัดผลที่ลิงก์กับยอดขาย ไม่ใช่แค่หวังว่าการเขียนบทความจะเพียงพอต่อการทำ SEO
1. วิเคราะห์คีย์เวิร์ดผิด = พลาดตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
หลายคนคงเข้าใจผิดว่าการเลือกคีย์เวิร์ดคือการคิดเองว่า “ลูกค้าน่าจะค้นหาด้วยคำนี้” แล้วก็เริ่มเขียนบทความเลยทันที โดยไม่ได้มีการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ใดๆ ซึ่งจริงๆ เรามีเครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดอย่าง Google Keyword Planner, Ahrefs, SEMrush, Ubersuggest ฯลฯ จะช่วยให้เราเห็นว่า
- คีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาของคุณมีคนค้นจริงไหม?
- มีการแข่งขันสูง-ต่ำ แค่ไหน?
- Search Intent ของผู้ค้นหาคืออะไร เขาอยากรู้อะไร หรืออยากซื้อ?
เพราะการเลือกคีย์เวิร์ดที่ผิด แม้จะเขียนเนื้อหาดีแค่ไหนก็ไม่มีวันทำอันดับได้เลย และที่แย่กว่าคือคนเจอแต่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายจริง ทำให้ไม่มี Conversion เข้ามาจริง ๆ
2. โครงสร้างเว็บไม่รองรับ SEO = Google อ่านไม่เข้าใจ
เว็บไซต์ที่จัดโครงสร้างไม่ดี เช่น ไม่มี Sitemap, URL ซ้ำกัน, ใช้ H1 เกิน 1 อัน, ไม่จัดหมวดหมู่เนื้อหาให้ชัดเจน หรือไม่มีระบบ Internal Linking ทำให้ Google Bot เข้าใจผิดว่าหน้าเว็บไม่มีความสำคัญ หรือไม่สามารถไต่ลิงก์ไปยังหน้าหลักได้เลย
การวางโครงสร้าง SEO-Friendly ต้องมีการวางแผนตั้งแต่เริ่ม เช่น แยกหมวดหมู่คอนเทนต์ วางโครง URL ให้มีลำดับชัดเจน ใส่ Schema ที่เหมาะสม และใช้ Tag HTML ให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นแม้จะมีคอนเทนต์ดีแค่ไหน Google ก็จะจัดอันดับให้ไม่ได้
3. มองข้าม Speed Optimization และเทคนิคหลังบ้าน
เว็บไซต์โหลดช้า ทำให้ Bounce Rate สูง ผู้ใช้กดออกก่อนจะได้อ่าน ทำให้ Google ให้คะแนนต่ำ นอกจากนี้ยังอีกหลายอย่างที่หลายคนไม่รู้ เช่น
- Schema Markup ที่จะช่วยให้ Google เข้าใจว่าเนื้อหาคือบทความ ข่าว รีวิว ความรู้ ฯลฯ
- Canonical Tag ป้องกันปัญหาคอนเทนต์ซ้ำ
- Robots.txt และ Sitemap.xml ช่วยให้บอทเก็บข้อมูลเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น
เรื่องพวกนี้ไม่สามารถทำได้ด้วยการเขียนบทความเพียงอย่างเดียว ต้องมีผู้ที่เข้าใจการ Optimize ความเร็วและเทคนิค SEO เชิงลึกมาช่วยดูแลหลังบ้านด้วย
4. เนื้อหาดีแต่ไม่ติดอันดับ เพราะไม่เข้าใจวิธีปรับคอนเทนต์ให้ตรงกับ SEO
บทความที่ดีต้องตอบโจทย์ทั้งคนอ่านและ Google พร้อมกัน ไม่ใช่เน้นแค่เขียนให้สวยหรือใช้ภาษาสละสลวยอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึง เช่น
- โครงสร้างบทความ (มี H2 H3)
- เขียนบทความให้ถูกหลัก EEAT เพื่อความน่าเชื่อถือของผู้ที่เข้ามาในเว็บไซต์และการเขียนตามหลักนี้ก็จะทำให้ Google ชอบอีกด้วย
- การกระจายคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม
- Call-to-Action (เชิญชวนให้ทำอะไรบางอย่าง)
- ใส่ Internal/External Link อย่างเหมาะสม
5. Backlink ที่มีคุณภาพคือสิ่งสำคัญ ไม่ใช่แค่จำนวนลิงก์
Google ให้ความสำคัญกับ “ความน่าเชื่อถือ” ของเว็บไซต์ต้นทางที่ลิงก์มาหาเรา หากได้ลิงก์จากเว็บไซต์คุณภาพสูง และมีความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ จะช่วยเพิ่มอันดับได้มาก แต่ในด้านตรงกันข้าม หากลิงก์มาจากเว็บสุ่ม เว็บข่าวปลอม เว็บสแปม Google จะมองว่าเว็บของเรามีเจตนา “โกง” อาจทำให้ถูกลงโทษได้
6. ไม่วิเคราะห์คู่แข่งทำให้ไม่รู้ว่าควรพัฒนาอะไร
SEO ไม่ใช่การแข่งกับตัวเอง แต่คือการแข่งกับเว็บไซต์อื่นในหน้าแรก Google การวิเคราะห์คู่แข่งเป็นวิธีที่ทำให้เรารู้ว่า การวิเคราะห์เชิงลึกจะช่วยให้เราวางกลยุทธ์ได้แม่นยำกว่าการลองผิดลองถูก ซึ่งการวิเคราะห์คู่แข่งคร่าว ๆ ดังนี้
- คีย์เวิร์ดที่เขาใช้คืออะไร?
- เขาวางหัวข้อย่อยแบบไหน?
- เขามีลิงก์จากเว็บไซต์ใดบ้าง?
- รูปแบบบทความเขาเป็นอย่างไร?
7. วัดผลผิดจุด ไม่รู้ว่า SEO สำเร็จจริงหรือไม่
การวัดอันดับคีย์เวิร์ดอย่างเดียวไม่พอ ต้องดูผลกระทบทางธุรกิจด้วย เช่น มีคนเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้นหรือไม่?, ยอดขายเพิ่มขึ้นไหม?, มีคนสมัครสมาชิก ติดต่อ หรือกรอกฟอร์มมากขึ้นหรือไม่? หากอันดับดีแต่ไม่มีการติดต่อกลับเลย แสดงว่าเนื้อหาไม่ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ หรือ UX ของเว็บไซต์ของคุณนั้นยังไม่ตอบโจทย์
8. ขาดการวางแผน SEO ในระยะยาว
SEO เห็นผลช้า ไม่เหมือนโฆษณาที่กด Boost แล้วเห็นผลทันที การทำ SEO ต้องอาศัยความสม่ำเสมอและแผนงานที่ชัดเจน เช่น
- วางแผน Content Calendar
- อัปเดตบทความเก่าให้ทันสมัย
- วางแผนสร้าง Backlink แบบต่อเนื่อง
- ปรับโครงสร้างเว็บเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง
การทำ SEO ไม่ใช่แค่การเรียนรู้พื้นฐาน แต่คือการวางระบบทั้งเว็บไซต์ให้ “พร้อมสำหรับ Google” และ “พร้อมสำหรับลูกค้า” พร้อมกัน ทั้งในเชิงโครงสร้าง เทคนิค เนื้อหา กลยุทธ์ และการวัดผล หากคุณมองว่า SEO คือการลงทุนระยะยาวที่ควรสร้างผลลัพธ์ได้จริง การเริ่มต้นด้วยทีมที่มีประสบการณ์ ย่อมลดการลองผิดลองถูก และประหยัดต้นทุนแฝงที่มองไม่เห็นในระยะสั้นได้อย่างมาก
Cz Group พร้อมช่วยวางแผน SEO พร้อมกลยุทธ์ครบด้านตั้งแต่การวิเคราะห์ ไปจนถึงวัดผลผูกกับยอดขาย การมีทีม SEO ที่เข้าใจทั้งบอทและพฤติกรรมลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจของคุณไปต่อได้ในระยะยาว
ติดต่อสอบถาม
บริษัท ซี แซด กรุ๊ป จำกัด 52/87 ถ.เทพาพัฒนา ต.ในเมือง อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ 67000
เบอร์โทร : 065 195 9797
E-mail : [email protected]
Line ID : @CzGroup
Facebook : CzGroup : Digital Marketing and SEO